วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Apple Store ทำยอดขายเหนือกว่าค่าเฉลี่ยร้านค้าทั่วไปถึง 17 เท่า



ผลการวิจัยจาก Asymco พบว่าร้านค้าของ Apple ทำผลงานยอดขายต่อตร.ฟุตในร้านค้าจริงได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของร้านค้าทั่วไปถึง 17 เท่า
ขณะที่ทิ้งห่างร้านค้าอันดับสองอย่าง Tiffany & Co ถึงเท่าตัวเลยทีเดียว  ขณะเดียวกัน ร้านค้าด้านเทคโนโลยีอย่าง Best Buy และ GameStop กลับเผชิญภาวะถดถอย ล่าสุด Best Buy เตรียมปิดร้าน 50 แห่งภายในปีนี้  ทั้งนี้ การวิจัยครั้งนี้ไม่ได้รวมถึงยอดขายทางออนไลน์
Apple ขึ้นชื่อในเรื่องการใช้ร้านค้าของตนช่วยบุกตลาด อีกทั้งยังได้รับการยอมรับในเรื่องการออกแบบ การใช้พื้นที่ภายใน รวมทั้งพนักงานที่เฉลียวฉลาดและให้ความช่วยเหลือได้อย่างดีเลิศ
… ช่วงนี้ จับสถิติอะไรของ Apple มาดู คงจะดีไปหมดทุกด้านแล้วล่ะ
[9to5mac]

ทำไมต้อง"รูดซิป" Google กันตั้งแต่เช้า?


คำตอบของดูเดิ้ล"ซิป"ปริศนาที่ปรากฎบนหน้าเว็บของกูเกิ้ลก็คือ เนื่องจากวันที่ 24 เมษายน เป็นวันเกิดของ Gideon Sundback (24 เมษายน 1880 ถึง 21 มิถุนายน 1954) วิศวกรไฟฟ้า และนักประดิษฐ์ชาวสวิเดนที่เป็นผู้คิดค้น "ซิป" ที่เราใช้ประโยชน์กันมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่ง Sundback ได้พัฒนา "ซิป" จากไอเดียขอเกี่ยวแบบรูดได้ของ "Judson C-Curity Fastener" โดยเขาพบคำตอบในการทำให้"ซิป"สามารถเพิ่มจำนวนของขอเกี่ยวที่เป็นกลไกสำคัญ เพื่อทำให้ซิปที่ได้มีความยาวเพิ่มขึ้นจาก 4 นิ้วเป็น 10 - 11 นิ้ว และได้เผยแพร่ผลงานดังกล่าวในปี 1914 ถึงวันนี้ก็ประมาณ 99 ปีแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชื่อ หรือคำว่า Zipper หรือที่เราเรียกซิปนี้ไม่ได้ตั้งโดย Sundback แต่มาจาก B.F.Goodrich ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ตัดสินใจใช้ซิปกับรองเท้าบู๊ทส์ของเขา
เพื่อเป็นการฉลองผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่คู่โลกมาช้านานร่วมร้อยปี โฮมเพจของ Google ก็เลยแสดงดูเดิ้ลเป็นรูป"ซิป"อันใหญ่ที่สามารถรูดได้ ซึ่งเมื่อผู้ใช้นำเมาส์ไปกดค้างตรงบริเวณที่จับ แล้วลากมันลงมา โฮมเพจของ Google ก็ถูกแยกออกจากกันด (ถ้ายังไม่ปล่อยนิ้วคุณสามารถลากซิปกลับขึ้นไปใหม่ได้ แต่พอปล่อยซิปก็จะแยกจากกันอยู่ดี) หลังจากซิปแยกจากกันแล้ว Google ก็จะพาคุณผู้อ่านเข้าไปสู่หน้าเว็บผลลัพธ์สำหรับการเสิร์ชด้วยคำค้นว่า Gideon Sundback คราวนี้ก็เข้าใจกันแล้วนะครับว่า ทำไมหน้าเว็บของ Google เช้านี้ถึงมีซิปอันเขื่องปรากฎอยู่ตรงกลางหน้าเว็บ :P


ผลวิจัยพบ Google ติดท็อปบริษัทที่คนนิยมชมชอบที่สุด



ABC News ร่วมวิจัยกับ Washington Post พบว่า Google เป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐ เหนือกว่า Apple, Facebook และ Twitter โดยชาวอเมริกัน 82% มีทัศนคติเชิงบวกต่อบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งเสิร์ชเอ็นจินเจ้านี้ ในขณะที่ 53% รู้สึกชื่นชอบอย่างยิ่งกับ Google
Larry Page, CEO ของ Google เพิ่งจะออกมากล่าวถึงความสำคัญของคำว่า “ความรักและความน่าเชื่อถือ” ซึ่ง Google ให้ความสนใจในการเป็นที่ชื่นชอบต่อสาธารณชน โดยบริษัทใหญ่ๆ ส่วนใหญ่มักจะไม่เป็นที่น่าประทับใจนักต่อผู้คนทั่วไป  อย่างไรก็ดี Page บอกว่าเป็นความโชคดีที่ Google เป็นบริษัทที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ใช้งาน ซึ่งช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ Google ทำสิ่งที่ตรงใจผู้ใช้งานได้ดีตลอดมา
… ก็ขอให้ Google รักษาความดีเช่นนี้ เพื่อจะได้สร้างผลิตภัณฑ์ดีๆ ออกมาให้เราใช้กันตลอดไป

ยอดผู้ใช้ "เฟซบุ๊ก" ใกล้ 1 พันล้านแล้ว


ในรายงานผลประกอบการของเฟซบุ๊ก (Facebook) เพื่อเตรียมตัวเปิด IPO ในตลาดที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ศกนี้ระบุว่า ยอดการใช้งานของสมาชิกเครือข่ายสังคมออนไลน์อันดับหนึ่งของโลกเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 901 ล้านราย หรือคิดเป็น 33% จาก 680 ล้านคนต่อเดือนตั้งแต่มีนาคม 2011 ถึง มีนาคม 2012 ซึ่งแบ่งเป็น 188 ล้านรายในสหรัฐฯ และแคนาดา 241 ล้านรายในยุโรป และ 230 ล้านรายในเอเซีย และในช่วงเวลาเดียวกัน การใช้งานเฉลี่ยต่อวันมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นสูงถึง 41% จาก 372 ล้านเป็น 526 ล้านรายต่อวัน...ว้าว!!!
นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กบนมือถือยังทะลุ 488 ล้านรายต่อเดือน ซึ่งทางบริษัทคาดว่าการใช้บริการเฟซบุ๊กบนมือถือจะมากกว่าบนพีซีในอีกไม่นานนัก แต่มันน่าแปลกใจตรงที่ว่า รายได้ส่วนใหญ่ของเฟซบุ๊กเกิดจากการใช้งานพีซี ไม่ใช่มือถือที่ยังไม่มีโมเดลการสร้างรายได้ที่ชัดเจน หรือเฟซบุ๊กกำลังเห็นโอกาสอะไรบางอย่างจากการใช้บริการบนโมบายถึงได้ชูเรื่องนี้อยู่เสมอ นอกจากนี้ เฟซบุ๊กเพิ่งจะซื้อ Instagram ด้วยมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งน่าจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งของการมุ่งสู่การให้บริการบนโมบาย นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้ตัดสินใจจ่าย 550 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อสิทธิบัตรจากไมโครซอฟท์เมื่อวานนี้
สำหรับสาเหตุที่รายได้ลดลง ทางเฟซบุ๊กกล่าวว่า เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการว่าจ้างพนักงานใหม่ และการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี โดยในส่วนของรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น 872 ล้านเหรียญฯ เทียบกับไตรมาสแรกของปี 2011 จะอยู่ที่ 637 ล้านเหรียญฯ แต่หากเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน (943 ล้านเหรียญฯ) รายได้โฆษณาไตรมาสนี้ลดลง ซึ่งเฟซบุ๊กอ้างว่า มันเป็นไปตามแนวโน้มของทุกปี ทั้งนี้เฟซบุ๊กคาดว่า โมเดลการขายโฆษณาบนมือถือผ่านบริการของบริษัทที่เริ่มทดลองใช้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจะกระตุ้นยอดรายได้ให้สูงขึ้น

CP All เปิดรับผู้จัดการสินค้าแฟชั่น บนเว็บ ShopAt7.com


ทาง CP All หรือที่รู้จักกันในนาม 7-11 ได้ฝากข่าวมาลงในคอลัมน์หางานหาเงินว่า ขณะนี้ ผู้จัดการสินค้าแฟชั่นของเว็บไซต์ www.ShopAt7.com ใครสนใจงานด้านอีคอมเมิร์ซไม่ควรพลาดชม
คน ๆ นี้ต้องเป็นผู้มีพลังพิเศษด้านแฟชั่นผู้หญิง รู้จักตั้งแต่แบรนด์หรูยาวไปถึงแฟชั่นประตูน้ำได้ยิ่งดี  ได้กลิ่นของเทรนด์ของซีซั่นหน้า ทั้งเร็วทั้งแม่นกว่าใครๆ
หน้าตาดีได้ แต่ไม่เน้น แต่งตัวต้องเป๊ะ ไม่มีหลุด และต้องไม่เคยตกเป็นจำเลยคดี แต่งกายเซาะกราว เด็ดขาด ถ้ามีงานอดิเรกคือเข้าเว็บแฟชั่นมากกว่าเล่น Facebook จะมีแต้มบวกเพิ่ม  มองทะลุถึงเว็บที่ขายของเป็น และขายของไม่เป็น จัดโปรโมชั่นเร็วพอๆ กับใส่เครื่องประดับ และต้องไม่มีปัญหากับการเติบโตแบบก้าวกระโดดในบริษัทใหญ่ๆ
งานที่ต้องปฎิบัติ: บริหารสินค้า
- หาสินค้าใหม่, บริหารสินค้าและยอดขาย ประสานงานกับการตลาดเพื่อหาสินค้าให้ตรงกับแผนงาน, ประสานงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของสินค้า
- ดำเนินการด้านเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ทำประมาณการการขาย และการบริหารสินค้าคงคลัง
- ประสานงานกับทีมการตลาด เพื่อ จัดธีมการขายสินค้า, จัดแคมเปญออนไลน์, และธีมหน้าเว็บ
- งานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
คุณสมบัติขั้นต่ำที่ต้องการ
- การศึกษา วุฒิการศึกษาปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ ถ้าเป็นสายการตลาด จะพิจารณาเป็นพิเศษ
- ประสบการณ์ 3 ปี ในงานด้านบริหารสินค้า เน้นกลุ่ม แฟชั่น, เสื้อผ้า
- ความสามารถ รู้ทัน และสามารถจับกระแสความนิยมของสินค้าในตลาดในกลุ่มที่ถนัดได้
- รู้จักเจ้าของสินค้า และกลยุทธ์ในการต่อรอง
- เข้าในถึงวิธีการคำนวณพื้นฐาน ที่เกี่ยวข้อง
- สามารถประมาณการยอดขาย และมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเทคนิคการบริหารสต็อกสินค้า
- มีความสามารถให้การบริหารลูกทีม
อื่นๆ ถ้ามีประสบกาณ์ดังต่อไปนี้ จะพิจารณาเป็นพิเศษ
  • มีประสบการณ์ด้านการขายสินค้าในอินเทอร์เน็ต
  • เป็นสมาชิกเว็บ หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าในกลุ่มที่ถนัด
  • มีรายชื่อเจ้าของสินค้า
  • มีรายชื่อกลุ่มลูกค้า
ถ้านับคุณสมบัติข้างบนได้มากเกินครึ่ง อายุไม่เกี่ยง เรารับแต่คนแกร่งเท่านั้น  ขอเรียนเชิญให้ส่งรายละเอียดมาที่ parinest@yahoo.com และ SuwanneeSuw@cpall.co.th เราทำงานเร็วมาก โปรดอย่ารอให้คนที่ไม่ตรงส่งมาตัดหน้าได้

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

Business Model Canvas เครื่องมือสร้างโมเดลธุรกิจสำหรับ Startup


ที่มาภาพ : linseymcintosh
วันนี้ขอมาแบบแหวกแนวหน่อยค่ะ แต่รับรองว่ามีประโยชน์กับทุกภาคธุรกิจรวมถึง Startup ที่กำลังออกแบบโมเดลธุรกิจ (Business Model) โดยเครื่องมือที่จะมาแนะนำในวันนี้มีชื่อว่า Business Model Canvas
Business Model Canvas เป็น template ที่ช่วยในการออกแบบโมเดลธุรกิจ ถูกพัฒนาขึ้นมาและนำเสนอโดยAlexander Osterwalder ในหนังสือชื่อ Business Model Generation (โดยในบทความนี้ได้คัดเลือกเนื้อหาหลักๆ ออกมาจากหนังสือดังกล่าว)
เมื่อเราต้องการออกแบบโมเดลธุรกิจ หลายครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบต่างๆ นั้นครบหรือไม่ และยากที่จะนำมาอธิบาย หรือใช้ในการระดมความคิด ถกกันกับเพื่อนๆ แต่ Business Model Canvas สามารถที่จะช่วยในจุดนี้ได้ โดยขอยกประโยชน์หลักๆ 2 หัวข้อด้วยกันคือ
1. ช่วยในการแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ออกมา เพื่อให้เราเข้าใจและออกแบบ โมเดลธุรกิจได้ครอบคลุม อันประกอบด้วย
  • Customer Segment กลุ่มลูกค้าของเราเป็นกลุ่มไหน? เช่นเป็นกลุ่มมวลชน (mass), เป็นแบบเฉพาะกลุ่ม (niche), กลุ่มลูกค้าองค์กร หรือบางธุรกิจทำหน้าที่เป็นตัวกลางทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่เกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งกลุ่ม (Multi-Sided Platform)
  • Value Propositions คุณค่าของสิ่งที่เราขายอยู่คืออะไร? เข้าไปช่วยแก้ปัญหาในจุดไหน? ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความสะดวกสบาย อาทิเช่น Apple นำเสนอ iTunes Store และ อุปกรณ์อื่นๆ ที่สามารถเชื่อมโยงให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดคอนเทนต์ ที่ในอดีตมีความยุ่งยาก ไม่มีมาตรฐาน แต่กลับสามารถทำได้สะดวกมากในปัจจุบัน เป็นการมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้า,  ช่วยประหยัดต้นทุน เช่นพวกบริการ Cloud ต่างๆ , ลดความเสี่ยง, เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่อย่าง สายการบินราคาประหยัด หรือ กองทุนรวม เป็นต้น
  • Channels ขายอย่างไร? ผ่านทางไหน? ไม่ว่าจะเป็นการขายเองโดยตรงผ่านหน้าร้าน ผ่านเว็บฯ หรือผ่านทางคู่ค้า แจกแจงออกมาให้หมด
  • Customer Relationships เรามีช่องทางสร้างสายสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างไรบ้าง? มีเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่คอยให้ความช่วยเหลือ Facebook, Twitter? ศูนย์บริการลูกค้า (Call Center)? หรือมีช่องทางให้ลูกค้าช่วยเหลือตัวเองได้เช่น Web-Self Service เป็นต้น
  • Revenue Streams วิธีการหารายได้ของเราเป็นอย่างไร? เช่น เป็นระบบสมาชิก คิดค่าธรรมเนียม รายเดือน/รายปี? คิดตามการใช้งานจริง? การปล่อยให้เช่า?, การคิดค่าลิขสิทธิ์? หรือ นำรูปแบบ Multi-Sided Platform มาใช้ เช่นเปิดให้ลูกค้าใช้ฟรี และคิดค่าใช้จ่ายกับผู้ลงโฆษณา อย่างธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์, Google เป็นต้น
  • Key Resource ทรัพยากรของบริษัทเราคืออะไร? ซึ่่งเป็นได้ทั้งเงินทุน, ทรัพยากรบุคคล, สิ่งของ, ทรัพย์สินทางปัญญา อาทิเช่น บริษัท Qualcomm ผู้ผลิตชิปเซ็ตให้กับอุปกรณ์โทรศัพท์ต่างๆ นั้น การออกแบบชิปเซ็ตเป็นทรัพท์สินทางปัญญาของทาง Qualcomm โดยตรง , หรืออย่าง Apple ก็มีแบรนด์และแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง เป็นต้น
  • Key Activities สิ่งที่ต้องทำเพื่อขับเคลื่อนให้โมเดลธุรกิจนี้ทำงานได้คืออะไร? อันได้แก่ การผลิต, การเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้า หรือ การจัดการดูแลแพลตฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่น บริการ Cloud ต่างๆ ต้องคอยจัดการดูแลแพลตฟอร์ม, ธุรกิจสิ่งพิมพ์ หัวใจหลักก็คือคอนเทนต์ ดังนั้นก็ต้องมีการสร้างและเขียนขึ้นมา เป็นต้น
  • Key Partners ใครคือคู่ค้าของเรา? หลายธุรกิจไม่สามารถดำเนินไปได้ถ้าขาดซึ่งคู่ค้า และถึงแม้เราจะทำได้เองก็ไม่คุ้มเพราะเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง บางครั้งควรเลือกที่จะ Outsource ออกไป เพื่อที่บริษัทจะได้หันมามุ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือดูแลลูกค้าอย่างจริงจัง และหลายธุรกิจก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตัวอย่างคู่ค้าของ Apple เห็นได้ชัดมาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเพลง ผู้ผลิตอุปกรณ์แบบ OEM, หนังสือพิมพ์และนิตยสารแจกฟรีทั้งหลายก็ต้องจับมือกับสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ ในการนำหนังสือเหล่านั้นไปวาง, เว็บฯ ซื้อขายของก็ต้องอาศัยระบบการชำระเงินของผู้ให้บริการ, Nintendo ก็ต้องพึ่งผู้พัฒนาเกมใหม่ๆ มาไว้บนเครื่อง Wii เป็นต้น
  • Cost Structure ค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจคืออะไร? อาทิเช่น ระบบโครงข่ายที่ต้องดูแลรักษา, ระบบฐานข้อมูลที่นับวันจะขยายใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ , ค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการที่ต้องพัฒนาซอฟแวร์ไปเรื่อยๆ หรือบางรายเป็นงานที่เกี่ยวกับการตลาดเป็นหลัก ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาด, การดึงลูกค้าเข้ามา เป็นต้น
จากองค์ประกอบข้างต้น ตัวอย่างของธุรกิจชื่อดังอย่าง Skype ก็สามารถนำมาแจกแจงและวาดออกมาเป็นภาพอย่างที่เห็นด้านล่าง
ที่มาภาพ : Business Model Inc.
2. Business Model Canvas เป็น Template ที่ฝึกให้คิดแบบ Visualization คือการคิดด้วยภาพนอกจากจะช่วยให้เราจัดกระบวนการทางความคิดภายในหัวเราได้ดีแล้ว เมื่อเราประชุมกับเพื่อนๆ เพื่อระดมสมองก็ง่ายในการถกกันด้วย อย่างเช่น ถ้าเราต้องการเสริมหรือปรับไอเดียส่วนไหน ภาพที่ฉายอยู่บนกระดานก็สามารถปรับแก้ได้อย่างสะดวก โดยเอา Post-it ธรรมดาๆ ที่เราคุ้นเคยพร้อมลงความเห็นใหม่ๆ มาแปะไว้บนกระดานตามช่องต่างๆ และก่อนที่จะปิดประชุมก็รวบรวมข้อมูลเหล่านี้เข้ามาได้ง่ายเลย
นี่ก็เป็นเพียงการแนะนำ Business Model Canvas คร่าวๆ นะคะ สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาหนังสือที่ชื่อว่า Business Model Generation มาอ่านเพื่อลงในรายละเอียดได้ แถมยังสอดแทรกข้อคิดดีๆ  เช่นการฝึกตั้งคำถามนอกกรอบอย่าง “อะไรจะเกิดขึ้น…ถ้า….” เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ, กฏของการระดมสมองอย่างมีประสิทธิภาพ, การฝึกคิดด้วยภาพ เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม อ่านอย่างเดียวคงไม่พอค่ะ มันจะเกิดเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดก็ต่อเมื่อเรานำมันมาลองใช้จริงนั่นเอง

Facebook ปล่อยปุ่ม listen เอาใจคอเพลง!!



Facebook - การฟังเพลงบนเฟสบุ๊ค หลังๆ มานี้นอกจากจะแปะคลิปกันแล้ว ยังมีปักส์อินเสริม สำหรับใส่เพลงลงหน้าเพจ  และตอนนี้เราสามารถฟังเพลงของศิลปินในแฟนเพจได้แล้วด้วยปุ่ม Listen

ปุ่ม Listen นี้ สามารถเล่นเพลงในแฟนเพจนั้นๆ โดยทำงานร่วมกับแอพ Deezer เพื่อ streaming เพลงออกมา ขณะเดียวกันมันต่างกับปุ่ม Listen With ที่ทำงานร่วมกับ  live chat ที่ออกมาเมื่อต้นปี

อย่างไรก็ดีปุ่ม Listen สามารถทำงานบน fan page ของศิลปินเท่านั้น และที่สำคัญเมืิองไทยยังใช้ไม่ได้จ๊ะ …><”



Source By Cnet